ลงทุนแล้วทำไมกำไรน้อยขาดทุนเยอะ
ปัญหาคาใจของผู้ลงทุนไม่ว่าจะมือเก่ามือใหม่คือ
ลงทุนมาตั้งหลายปีแต่ยังไม่รวยสักที
เวลาได้กำไรก็แค่หลักพันแต่พอขาดทุนกลับกลายเป็นหลักหมื่น
มีจำนวนไม่น้อยที่โทษดวงบ้างโทษภาวะตลาดบ้าง
แต่บอกได้เลยว่าการไปโทษสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเราเองนั้นไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย
การจะแก้ปัญหานี้ได้คือการหาสาเหตุที่เกี่ยวกับตัวเราแล้วนำมาปรับปรุงจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมกว่า
จากประสบการณ์ที่ได้ให้คำแนะนำด้านการลงทุน
พบว่าผู้ลงทุนรายย่อยมักพลาดตรงที่ใช้ “อารมณ์ความรู้สึก”
เป็นตัวตัดสินใจลงทุนแทนการใช้เหตุผล ซึ่งในที่นี้จะเรียกว่า “อคติ (bias)”
ลองสังเกตง่ายๆ ครับ หากราคาหุ้น ทองคำ หรือสินทรัพย์อื่นๆ
ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน
แล้วเราเกิดความรู้สึกฮึกเหิมมั่นใจในภาวะตลาด
แม้ว่าจะยังไม่ได้ศึกษาที่มาที่ไปของสถานการณ์นั้น
หรือในทางกลับกันหากราคาปรับตัวลงอย่างมากแล้วเราเกิดความกลัวว่าจะขาดทุน
ไม่กล้าติดตามภาวะตลาดอีกต่อไป สิ่งนี้บ่งบอกว่าเราถูกอารมณ์เข้าครอบงำ
ไม่ได้ใช้การตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลที่เพียงพอ
เรื่องนี้เกิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่
แต่เป็นสิ่งที่ได้ศึกษาไว้แล้วในเรื่องการเงินเชิงพฤติกรรม (Behavioral
Finance) ซึ่งบทความนี้ขอยกตัวอย่างอคติที่มักพบบ่อย 3 เรื่องให้ท่านผู้อ่านได้ทำความเข้าใจและนำไปประยุกต์กับตนเอง ได้แก่ (1)
“เสียดาย” ขาดทุนแล้วไม่กล้าตัดใจแม้รู้ว่าการถือต่อจะไม่เป็นประโยชน์
(2) “ยึดติด” ว่าราคาในอดีตที่น่าพึงพอใจจะกลับมาเหมือนเดิม
ผสมกับเรื่องความกลัวที่จะสูญเสีย และ (3) “ใจเร็ว”
กำไรนิดหน่อยทำให้เสียโอกาสทำกำไร
ความเสียดายเป็นอคติที่จะทำให้เราตัดสินใจแบบไม่เป็นเหตุเป็นผล
ขอยกตัวอย่างสถานการณ์สุดคลาสสิกที่หลายคนน่าจะเคยเป็น
เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อเราซื้อตั๋วเข้าไปนั่งดูหนังโดยคาดหวังว่ามันจะสนุกตื่นเต้นสมดังที่เทรลเลอร์
(ตัวอย่างหนัง) ว่าไว้ แต่แล้วพอฉายไปได้สักพักพบว่าไม่สนุกเอาเสียเลย
คำถามคือเราจะเลือกทำอย่างไร ระหว่าง (ก) ทนนั่งดูต่อไปเพราะไหนๆ
ก็เสียตังค์ซื้อตั๋วไปแล้ว กับ (ข) ตัดใจเดินออกจากโรงหนังไปหาอะไรอย่างอื่นทำ
คนจำนวนมากจะเลือกข้อแรก คือทนดูไปทั้งที่ไม่ชอบด้วยเหตุผลหลักก็คือเสียดายเงิน
สิ่งนี้ภาษาเทคนิคเรียกว่า Sunk
Cost Fallacy หรือความเข้าใจผิดเรื่องต้นทุนที่จ่ายไปแล้ว จริงๆ
หากพิจารณาตามหลักเหตุผลเราควรเลือกเดินออกจากโรงหนังมากกว่า
เพราะค่าตั๋วที่จ่ายไปแล้วก็คือจ่ายไปแล้วไม่ว่าเราจะดูหนังหรือไม่ก็ตาม
การที่เราทนนั่งในโรงหนังต่อไปย่อมแปลว่าเงินก้อนนั้นเราจ่ายไปเพื่อให้เกิดความทุกข์
เช่นเดียวกับการลงทุนที่เผอิญผิดทาง หากพิจารณาแล้วเห็นท่าไม่ดี ก็ควรตัดใจสับเปลี่ยนไปลงทุนสินทรัพย์อื่นที่มีแนวโน้มสร้างโอกาสใหม่ให้กับเราจะดีกว่า
สถานการณ์ต่อมาคือเมื่อราคาเริ่มร่วงลงไปเรื่อยๆ
ผู้ลงทุนจะถูกอคติอีกตัวหนึ่งเข้าครอบงำเรียกว่า Anchoring Bias คำว่า Anchor แปลว่าทอดสมอเรือ อคตินี้หมายถึงการยึดติดกับราคาที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
กล่าวคือเมื่อราคาร่วงลงแล้ว เรามักจะอยากถือสินทรัพย์นั้นไว้ก่อน โดยหวังเล็กๆ
ว่าราคาจะกลับขึ้นไปเหมือนเดิม ทั้งที่ในเวลานั้นปัจจัยพื้นฐานอาจจะเปลี่ยนไปแล้ว
ทำให้เกิดตลาดอยู่ในภาวะขาลง ทำให้การตัดสินใจถูกบิดเบือน
เรื่องนี้พอผสมโรงกับอคติอีกตัวที่เรียกว่า Loss
Aversion หรือการเลี่ยงการสูญเสีย ก็จะไปกันใหญ่
เพราะในเชิงการลงทุนแล้ว
สมองเราตีความว่าขาดทุนหรือการได้กำไรน้อยกว่าเมื่อวานเป็นการสูญเสีย ดังนั้น
เราจึงไม่ยินดีที่จะขายออกไป และเมื่อราคาปรับตัวลงเรื่อยๆ อันเนื่องจากภาวะขาลง
สมองก็ยิ่งตีความว่าเจ็บปวดมากขึ้น
และแสดงพฤติกรรมออกมาในเชิงการถือครองต่อไปแบบไม่มีเหตุผลเหมาะสม เช่น
ปิดหน้าจอบ้าง ไม่อยากรับรู้ข่าวสารบ้าง จนสุดท้ายราคาร่วงลงในระดับที่ทนไม่ไหว
จึงหาทางออกด้วยการตัดใจขายทิ้งซึ่งมักเป็นระดับที่ราคาต่ำมากแล้ว หากตัดสินใจอย่างมีเหตุผล
ก็ควรพิจารณาตัดใจขายแต่เนิ่นๆ
เพื่อให้พอได้กำไรหรือไม่ก็ตัดขาดทุนก่อนที่สถานการณ์จะลุกลามใหญ่โต
และเข้าซื้อในระดับที่ราคาต่ำ (แทนการขายออก) มากกว่า
ในทางกลับกัน
ขณะที่สถานการณ์ตลาดทุนกำลังเป็นขาขึ้นและสามารถสร้างกำไรให้ได้นั้น ผู้ลงทุนที่ได้กำไรน้อยมักถูกอคติ
Action
Bias หรือการอยู่ไม่นิ่ง เข้าครอบงำ
คือพอได้กำไรนิดหน่อยก็อยากเคาะขาย
แทนที่จะรอจังหวะให้มูลค่าของสินทรัพย์ปรับตัวเพิ่มสะท้อนมูลค่าที่ควรเป็นตามภาวะตลาด
หรือที่เรียกว่า Let Profit Run ซึ่งผู้ลงทุนต่างๆ
ที่ประสบความสำเร็จ มักเป็นผู้ที่อดทนรอคอยถือครองระยะยาวได้
(ลองศึกษาตัวอย่างเพิ่มเติมกรณีของเซอร์จอห์นเทมเพิลตัน – Sir John
Templeton)
เมื่อรู้อย่างนี้แล้วควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลงทุนอย่างไรดี?
การจะกล้าขายก่อนที่ตลาดจะเป็นขาลงและอดทนรอคอยในช่วงตลาดขาขึ้น
อาศัยลักษณะสำคัญ 2 ประการ คือ “สติ” และ “ปัญญา”
ซึ่งอาจจะฟังดูเหมือนหลักธรรมในพุทธศาสนา
การฝึกสติในทางธรรมคือการอยู่กับสภาวะปัจจุบัน รู้ทันว่ามีอารมณ์อะไรมากระทบ
ส่วนสติในเชิงการลงทุนคือการรู้ตัวว่าการตัดสินใจแต่ละครั้งกำลังถูกครอบงำด้วยอคติหรืออารมณ์ใดอยู่
ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะไม่เห็นสภาพตามความจริง ส่วนปัญญานั้นแสดงออกมาด้วยการกระทำ
กล่าวคือการตัดสินใจนั้นมีเหตุผลที่เหมาะสมหรือไม่
ซึ่งเราสามารถใช้วิธีจดลงในสมุดคล้ายไดอารี่ว่าซื้อขายวันนี้เพราะอะไรเพื่อจะได้กลับมาทบทวนตนเองได้ในวันหลังและสามารถปรับปรุงตัวเองต่อไปในอนาคต