สำหรับผู้ที่เรียนจบใหม่
เมื่อก้าวเข้าสู่โลกของการทำงาน มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป เริ่มมีความรับผิดชอบมากขึ้นทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องหน้าที่การงาน
เริ่มมีเป้าหมายที่อยากสร้างอนาคตของตนเอง
เริ่มมีรายได้และเริ่มมีอิสระในการใช้เงินของตนเอง
ซึ่งสิ่งที่ควรระวังอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานก็คือ “อาการวู่วาม” (Impulsive)
ซึ่งเป็นการตัดสินใจใช้เงินด้วยอารมณ์เป็นส่วนใหญ่ เช่น
การซื้ออุปกรณ์ไอทีทุกครั้งที่มีเทคโนโลยีใหม่ ๆ การซื้อเสื้อผ้าตามแฟชั่น
หรือการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ โดยไม่ได้วางแผน
อาจเสี่ยงต่อการใช้เงินมากกว่ารายได้ก่อให้เกิดหนี้สินตามมาได้ง่าย เช่น
หนี้บัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคล เป็นต้น
นอกจากนี้ผู้ที่เริ่มต้นทำงานได้ไม่นานก็อาจเริ่มกู้ซื้อบ้าน ซื้อรถยนต์
เริ่มมีหนี้สินผูกพันระยะยาวตั้งแต่อายุยังน้อย
ซึ่งจะทำให้มีภาระดอกเบี้ยจ่ายในระยะยาวจำนวนมาก
เป็นอุปสรรคที่สำคัญต่อการออมเงินและวางแผนการเงินเพื่อเป้าหมายต่าง ๆ ในอนาคต
และอาจก่อให้เกิดปัญหาภาระหนี้เพิ่มขึ้นในอนาคตได้อีกด้วย
ดังนั้นเมื่อมีรายได้ควรเริ่มวางแผนการเงินตั้งแต่การจัดการค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน
ทำงบประมาณเพื่อใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง
เมื่อบริหารรายได้และค่าใช้จ่ายของตนเองแล้วก็ควรเริ่มตั้งเป้าหมายการออมเพื่อจะได้เลือกแหล่งเงินออมและการลงทุนได้อย่างเหมาะสม
โดยเริ่มจากเงินออมก้อนแรก คือ เงินออมเผื่อฉุกเฉิน ควรมีอย่างน้อย 3 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน
ไว้สำหรับถอนใช้ได้ทันทีเมื่อจำเป็นต้องใช้เงิน จะช่วยลดการก่อหนี้โดยไม่จำเป็น
ซึ่งเงินออมนี้ควรเก็บไว้ในบัญชีที่สามารถถอนใช้ได้ง่าย เช่น เงินฝากออมทรัพย์
กองทุนรวมตลาดเงิน เป็นต้น
ส่วนการกำหนดเป้าหมายการออมควรแบ่งระยะเป้าหมายเป็น
ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อช่วยให้เราวางแผนได้ครอบคลุม
ไม่ควรละเลยเป้าหมายระยะยาว โดยเฉพาะเป้าหมายเกษียณที่เราทุกคนควรให้ความสำคัญ
ยิ่งเริ่มต้นเร็วจะช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งในปัจจุบันและในวัยเกษียณ
ซึ่งปัจจุบันหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนก็ให้ความสำคัญ
มีกลไกช่วยสนับสนุนให้วัยทำงานมีเงินออมเพื่อเกษียณ เช่น
ผู้ที่ทำงานภาคเอกชนจะต้องนำส่งเงินในแต่ละเดือนเข้ากองทุนประกันสังคม ร้อยละ 5
ของเงินเดือน สูงสุดไม่เกิน 750
บาทต่อเดือนและนำส่งเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ขั้นต่ำร้อยละ 3
ของเงินเดือน และได้รับเงินสมทบจากนายจ้างตามข้อบังคับของกองทุนฯ
ส่วนผู้ที่รับราชการและเป็นสมาชิกกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
(กบข.) จะต้องนำส่งเงินสะสมในแต่ละเดือนเข้า กบข. ขั้นต่ำร้อยละ 3 ของเงินเดือน
นอกจากนี้ยังได้เงินสมทบจากภาครัฐร้อยละ 3 และเงินชดเชยอีกร้อยละ 2 ของเงินเดือน
รวมแล้วจะทำให้มีเงินลงทุนเตรียมไว้เพื่อการเกษียณแล้วอย่างน้อยเป็นจำนวนร้อยละ 8
ของเงินเดือน
จากการประเมินของศูนย์ข้อมูลการเงิน กบข.
ผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานควรเริ่มต้นออมเงินเพื่อการเกษียณของตนเองอย่างน้อยที่ร้อยละ
10 ของรายได้ต่อเดือน
และเมื่อมีศักยภาพในการออมมากขึ้น
ควรเพิ่มระดับเงินลงทุนเพื่อวัยเกษียณมากขึ้นเรื่อย ๆ ไปจนถึงร้อยละ 20
ของรายได้ต่อเดือน ตลอดช่วงชีวิตการทำงาน เพื่อที่จะมั่นใจได้ว่าจะสามารถใช้ชีวิตในวัยเกษียณอย่างมีคุณภาพ
ดังนั้นศูนย์ข้อมูลการเงิน กบข.
แนะนำว่าข้าราชการบรรจุใหม่ควรเพิ่มสัดส่วนการออมเพิ่มให้ได้อีกร้อยละ 2
ของเงินเดือนเป็นอย่างน้อย เมื่อรวมกับเงินสะสมภาคบังคับ เงินสมทบ
และเงินชดเชยรวมเป็นร้อยละ 10 ของเงินเดือน
หากเริ่มต้นรับราชการอายุ 25 ปี ที่เงินเดือนเริ่มต้น 15,000
บาท คงอัตราการออมรวมที่ร้อยละ 10
ของเงินเดือนที่มีการปรับเงินเดือนขึ้นในแต่ละปี ไปจนถึงอายุ 60 ปี
เมื่อเกษียณราชการคาดว่าจะได้รับเงิน กบข. ประมาณ 3
ล้านบาท แต่หากสามารถออมเพิ่มสูงสุดร้อยละ 12
รวมกับเงินสะสมภาคบังคับ เงินสมทบ และเงินชดเชยรวมเป็นร้อยละ 20
ของเงินเดือน ตั้งแต่เริ่มต้นรับราชการจนเกษียณ คาดว่าจะได้รับเงินประมาณ 6
ล้านบาท จะเห็นได้ว่ายิ่งออมมากออมเร็วจะยิ่งทำให้มีเงินในวัยเกษียณเพิ่มมากขึ้น
แม้ในวัยเริ่มต้นทำงานอาจจะมีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี
แต่เมื่อมีรายได้ต่อเดือนเพิ่มมากขึ้น มีความสามารถในการออมมากขึ้น
แนะนำว่าควรพิจารณาเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือ กบข.
ให้มากขึ้นเป็นลำดับแรก
เนื่องจากการลงทุนเหล่านี้นอกเหนือจากการได้ผลตอบแทนจากการลงทุนแล้ว เงินลงทุนยังสามารถนำมาใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย
สำหรับสมาชิก
กบข. สามารถนัดหมายเพื่อขอคำแนะนำด้านการออมเพิ่ม และการเปลี่ยนแผนการลงทุน
หรือสอบถามข้อมูลด้านอื่น ๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจทางการเงิน
สามารถติดต่อศูนย์ให้คำปรึกษาทางการเงินได้ที่ เมนู "นัดหมายปรึกษา" ใน My GPF Application