ในประเทศไทยมีการส่งเสริมด้านการลงทุนเพื่อการเกษียณหลากหลายรูปแบบ
สำหรับพนักงานเอกชนมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) สำหรับผู้ที่รับราชการมีกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
(กบข.) อีกทั้งมีการลงทุนเพิ่มเติมช่องทางอื่น ๆ เช่น กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ
(RMF) การลงทุนเหล่านี้นอกจากจะช่วยออมเงินเพื่อเกษียณแล้วยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
ซึ่งมีเงื่อนไขกำหนดไว้ สำหรับ PVD และ RMF หากนำเงินออกมาเมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์
และเป็นสมาชิกกองทุนหรือมีการลงทุนมาต่อเนื่องเกิน 5 ปี
จะได้รับการยกเว้นภาษี สำหรับเงินก้อนที่ได้รับคืนจาก กบข.
หากสมาชิกออกจากราชการด้วยเหตุ สูงอายุ เกษียณ ทดแทน ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต
จะได้รับยกเว้นภาษี แต่หากสมาชิกออกจากราชการด้วยเหตุอื่น ๆ
เงินหรือผลประโยชน์ที่ได้รับจาก กบข. จะได้รับยกเว้นภาษีเมื่อสมาชิกฝากเงินให้ กบข.
บริหารต่อทั้งจำนวนแล้วขอรับคืนตอนอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์
จะเห็นได้ว่าเมื่อถึงวันเกษียณนั้น
เงินหลายก้อนที่ได้รับรวม ๆ แล้วไม่น้อยเลยทีเดียว
ช่วงใกล้เกษียณจึงมีสิ่งที่ต้องตัดสินใจเกี่ยวกับเงินลงทุนเพื่อการเกษียณต่าง ๆ
คำถามสำคัญของผู้ที่กำลังจะเกษียณคือควรนำเงินออกมาจากการลงทุนเหล่านี้หรือควรจะลงทุนต่อไปดี
ซึ่งปัจจัยสำคัญหลักสำหรับการตัดสินใจว่าควรจะนำเงินออกมาหรือคงการลงทุนไว้ มี 2 ประการคือ
(1) ความจำเป็นของการใช้เงินก้อนหลังเกษียณ
เช่น การนำเงินไปชำระหนี้ที่คงค้างมาจนถึงช่วงหลังเกษียณ เพื่อลดค่าใช้จ่ายการชำระหนี้ในแต่ละเดือน
หรืออาจนำเงินก้อนไปใช้จ่ายในวัตถุประสงค์ต่างๆ
(2) แหล่งรายได้ประจำหรือเงินสำรองอื่น ๆ
ที่มีไว้ใช้สำหรับช่วงหลังเกษียณ ซึ่งจะเป็นเงินค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพ เช่น
เงินบำนาญจากกองทุนประกันสังคมของผู้ประกันตน บำนาญรายเดือนของข้าราชการ รายได้จากค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์
รายได้จากปันผลหุ้นหรือกองทุนรวม รายได้จากการประกอบธุรกิจส่วนตัว เป็นต้น
หากพิจารณาทั้ง 2 ปัจจัยนี้แล้ว
จะทำให้สามารถแบ่งทางเลือกในการตัดสินใจลงทุนต่อหรือนำเงินลงทุนออกมาใช้ ได้เป็น 4 กรณีดังนี้
กรณีที่ 1
มีความจำเป็นต้องใช้เงิน ไม่มีแหล่งเงินอื่น ๆ แนะนำให้นำเงินลงทุนออกมา ตัวอย่าง
ผู้เกษียณหลายท่านมีภาระหนี้สินที่มีดอกเบี้ยจ่ายสูงกว่าผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุน
ดังนั้นเพื่อเป็นการลดภาระดอกเบี้ยจ่าย ควรนำเงินออกมาเพื่อชำระหนี้
และเงินที่ถอนออกมาส่วนที่ยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้ ควรนำมาลงทุนเพื่อเพิ่มโอกาสได้รับผลตอบแทนเพื่อมาเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
โดยอาจเลือกลงทุนในกองทุนรวมแบบผสมที่มีการขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ
เนื่องจากกองทุนรวมประเภทนี้จะมีการขายคืนหน่วยลงทุนให้กับผู้ลงทุนเพื่อจะได้มีกระแสเงินสดไว้ใช้จ่าย
กรณีที่ 2 มีความจำเป็นต้องใช้เงิน
มีแหล่งเงินอื่น ๆ
แนะนำให้ถอนเงินลงทุนบางส่วนตามความจำเป็นเพื่อให้สามารถใช้จ่ายได้เพียงพอตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
และนำเงินได้จากแหล่งเงินได้อื่นสำรองไว้สำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
ส่วนเงินก้อนที่เหลือควรคงไว้ในการลงทุนเพื่อที่จะได้รับผลตอบแทนไปอย่างต่อเนื่อง
หากมีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อนในอนาคตก็สามารถถอนมาใช้ได้
กรณีที่ 3
ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน ไม่มีแหล่งรายได้อื่น ๆ
แนะนำว่าให้ทยอยถอนเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
โดยอาจจะถอนเงินออกมาในแต่ละครั้งเพื่อให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายชีวิตประจำวันประมาณ
6 เดือนถึง 1 ปี
โดยเงินที่เตรียมมาไว้ใช้จ่ายนี้สามารถนำมาพักไว้ในกองทุนรวมตลาดเงินหรือกองทุนรวมตราสารหนี้
กรณีที่ 4
ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน มีแหล่งรายได้อื่น ๆ แนะนำให้คงการลงทุนต่อไป
สำหรับผู้ที่มีรายได้ประจำหลังเกษียณอยู่แล้ว
ข้อดีของการคงเงินลงทุนไว้คือสามารถลงทุนได้ต่อเนื่องโดยที่ไม่ต้องบริหารการลงทุนด้วยตนเอง
อีกทั้งการคงเงินลงทุนเป็นทางเลือกให้ไม่ต้องรีบนำเงินออกมาหากช่วงที่เกษียณอายุเป็นช่วงที่สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง
จะทำให้สามารถรอจนกระทั่งตลาดปรับตัวดีขึ้นแล้วจึงค่อยนำเงินออกจากกองทุน
สำหรับกรณีที่ผู้เกษียณต้องการคงเงินลงทุนไว้บางส่วนหรือคงเงินลงทุนไว้ทั้งหมดนั้น
ช่วงที่ใกล้เกษียณผู้ลงทุนควรปรับนโยบายการลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
เช่น หากรับความเสี่ยงได้ต่ำควรเลือกนโยบายการลงทุนในหุ้นมีสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 10 และตราสารหนี้ประมาณร้อยละ 90
เพื่อรักษาเงินต้นและสร้างโอกาสได้รับผลตอบแทนชดเชยเงินเฟ้อ สำหรับสมาชิก กบข.
จะสามารถเลือกแผนสมดุลตามอายุเกษียณอายุ 60 ปี
ซึ่งจะมีการปรับลดสัดส่วนหุ้นลงให้กับสมาชิกจนเหลือสัดส่วนหุ้นไม่เกินร้อยละ 10 เมื่ออายุสมาชิกครบ 60 ปี
แต่ถ้าสามารถรับความเสี่ยงได้ปานกลาง อาจเลือกนโยบายลงทุนแบบสมดุล ซึ่งจะมีการลงทุนในหลายสินทรัพย์ทั้งหุ้น
ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ สินทรัพย์ทางเลือกต่าง ๆ
เป็นการกระจายความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนในระยะยาว สำหรับสมาชิก กบข. นั้น
สามารถเลือกลงทุนในแผนหลัก
อย่างไรก็ตามในทุกกรณีต้องไม่ลืมว่า
ควรมีเงินสำรองไว้ใช้จ่ายยามฉุกเฉินเผื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
โดยควรเตรียมไว้ 3-6
เท่าของค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือน ซึ่งเป็นเงินที่ต้องกันออกมาจากการลงทุนส่วนอื่น
ๆ
โดยอาจพักเงินส่วนนี้ไว้ในกองทุนรวมตลาดเงินหรืออาจเปิดบัญชีธนาคารประเภทเงินฝากดิจิทัล
ซึ่งเป็นเงินฝากที่ไม่มีสมุดบัญชี ต้องทำรายการผ่าน Mobile Banking เท่านั้น ซึ่งเงินฝากประเภทนี้ให้ดอกเบี้ยสูงถึงร้อยละ 1.5 – 2.0 (ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละธนาคาร)
การบริหารจัดการเงินก้อนที่เตรียมไว้เพื่อเกษียณ
เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องปรับแต่งรายละเอียดให้เหมาะกับวัตถุประสงค์และข้อจำกัดด้านการเงินของแต่ละบุคคล
บทความนี้เป็นแนวทางเบื้องต้นสำหรับการวางแผนการลงทุนหลังเกษียณเท่านั้นนะครับ
สำหรับสมาชิก กบข. ที่ต้องการปรึกษาแนวทางการจัดสรรเงินหรือการลงทุนเพื่อการเกษียณ
สามารถนัดหมายศูนย์ข้อมูลการเงิน กบข. ได้ที่ My GPF Application เมนู
“นัดหมายบริการข้อมูลการเงิน” หรืออีเมล fa@gpf.or.th