ถ้ามีใครสักคนมาขอยืมเงินเรา
และเรามีเงินเหลือมากพอที่จะให้ยืม
สิ่งแรกที่เราต้องพิจารณาก่อนให้ยืมเงินนั้นก็คือ
เรามีโอกาสถูกเบี้ยวหนี้มากน้อยเพียงใด อย่างเช่น เรามีเพื่อนอยู่ 2 คน คนแรก นาย ก. มีฐานะมั่นคง มีรายได้สม่ำเสมอ ต้องการนำเงินไปขยายธุรกิจ
กับ นาย ข. ซึ่งมีรายได้ไม่สม่ำเสมอและมาขอยืมเงินโดยไม่บอกเหตุผล
แถมยังเคยมีประวัติยืมเงินเราแล้วคืนช้าอีก หากพิจารณาจากปัจจัยข้างต้น การให้ นาย
ก. ยืมเงินน่าจะมีความเสี่ยงน้อยกว่าให้ นาย ข. ดังนั้นถ้าเราจะให้นาย ข.
ยืมเงินจริง ๆ เราคงต้องขอคิดดอกเบี้ยมากกว่า นาย ก. สักหน่อย
เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เราต้องแบกรับไว้
การให้ใครสักคนยืมเงินแล้วเราได้ดอกเบี้ยเป็นการตอบแทน
ก็เปรียบเสมือนการที่ผู้ลงทุนนำเงินไปให้องค์กรหรือบริษัทผู้ออกตราสารหนี้ยืมเงิน
ซึ่งผู้ออกตราสารหนี้ (Issuer) มีหน้าที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยและคืนเงินต้นเมื่อครบกำหนดสัญญาให้กับนักลงทุนผู้ถือตราสารหนี้
(Investor) ดังนั้นก่อนผู้ลงทุนจะตัดสินใจให้องค์กรหรือบริษัทไหนกู้ยืมเงินเราไปใช้
ควรพิจารณาอันดับเครดิตกันก่อนนะครับ
อันดับเครดิต หรือ Credit
Rating คืออะไร
สิ่งที่จะทำให้ผู้ลงทุนรู้ว่าตราสารหนี้นั้น ๆ
มีโอกาสการผิดนัดชำระหนี้ (Default) มากน้อยเพียงใด
ก็คือการดูจากอันดับความน่าเชื่อถือหรืออันดับเครดิต
ซึ่งเป็นการประเมินความน่าเชื่อถือของทั้งตัวองค์กรที่เป็นผู้ออกตราสารหนี้ไม่ว่าจะเป็น
รัฐบาล รัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทเอกชนต่าง ๆ
และเป็นการประเมินความน่าเชื่อถือในระดับของตราสารหนี้แต่ละตัวที่องค์กรนั้น ๆ
ได้ออกมาเสนอขายให้กับผู้ลงทุน โดยจะมีการประเมินจาก สถาบันจัดอันดับเครดิต (Credit
Rating Agency) โดยบริษัทจัดอันดับเครดิตที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล
3 บริษัท ได้แก่ Standard and Poor’s (S&P) /
Moody’s / Fitch ส่วนในประเทศไทยนั้นจะมี ทริสเรทติ้งและฟิทช์
เรทติ้งส์ (ประเทศไทย)
ซึ่งสถาบันเหล่านี้ทำหน้าที่ให้บริการจัดอันดับเครดิตโดยพิจารณาจากภาพรวมลักษณะธุรกิจ
ปัจจัยหลักต่าง ๆ ที่มีผลต่อผลประกอบการ
ความสามารถในการแข่งขันทั้งในระยะสั้นและระยะยาวของธุรกิจ มีการพิจารณาข้อมูลด้านการเงินจากงบการเงินของบริษัท
แผนงบประมาณต่าง ๆ รวมไปถึงระดับหนี้และโครงสร้างเงินทุนของบริษัท
อันดับเครดิตบอกอะไรเราบ้าง
สำหรับอันดับเครดิตของตราสารหนี้ระยะสั้น
จะมีตั้งแต่ T1 หรือ F1+ (อาจแตกต่างกันไปในแต่ละสถาบันจัดอันดับเครดิต)
ลงไปจนต่ำสุดถึงระดับ D ส่วนอันดับเครดิตของตราสารหนี้ระยะกลางถึงยาวที่มีอายุตั้งแต่
1 ปีขึ้นไปจะถูกตัดเกรดแบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่ คือ
กลุ่มน่าลงทุน (Investment Grade) จะมีอันดับเครดิต AAA
ลงไปถึง BBB- และกลุ่มเก็งกำไร (Speculative
Grade) เริ่มต้นตั้งแต่อันดับ BB+ ลงไปจนถึง D
โดยตราสารหนี้ที่อันดับเครดิตยิ่งสูง (AAA) จะมีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ต่ำ
ซึ่งตามทฤษฎีการเงินแล้วตราสารหนี้ประเภท พันธบัตรรัฐบาล (Government Bond)
จะถือว่าเป็นสินทรัพย์ลงทุนที่ปราศจากความเสี่ยง (Risk-Free
Asset) เพราะว่ารัฐบาลมีความน่าเชื่อถือมีความสามารถในการชำระหนี้
เนื่องจากรัฐบาลมีอำนาจ (Authority) ในการจัดเก็บภาษีเพื่อนำมาใช้หนี้คืนนั่นเอง
ส่วนตราสารหนี้ที่ออกโดยภาคเอกชนหรือที่เรียกว่าหุ้นกู้นั้น
จะมีความเสี่ยงสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาล
ดังนั้นหุ้นกู้ภาคเอกชนจึงต้องมีการจ่ายดอกเบี้ยให้กับผู้ลงทุนในอัตราที่สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลจึงจะเป็นที่สนใจของนักลงทุน
แนวทางการเลือกลงทุนตราสารหนี้
1.) สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปแล้วแนะนำว่าควรเลือกลงทุนตราสารหนี้ที่อยู่ในระดับ
Investment Grade ซึ่งจะมีความปลอดภัย
เป็นการหลีกเลี่ยงโอกาสการสูญเสียเงินต้น หลีกเลี่ยงโอกาสที่จะได้ผลประโยชน์ไม่ครบตามจำนวนหรือระยะเวลาที่กำหนดไว้ตามสัญญา
2.) ผู้ลงทุนพึงระลึกว่าการซื้อหุ้นกู้หรือพันธบัตรโดยตรงนั้น
มีความเสี่ยงสภาพคล่อง (Liquidity Risk) เนื่องจากตลาดรองของตราสารหนี้นั้นมีผู้ซื้อขายน้อยราย
เมื่อผู้ลงทุนตัดสินใจลงทุนตราสารหนี้ไปแล้ว มักต้องถือครองตราสารจนครบกำหนดไถ่ถอน
ดังนั้นผู้ลงทุนรายย่อยควรพิจารณาเลือกอายุตราสารหนี้ให้เหมาะกับระยะเวลาที่ต้องการใช้เงินในอนาคต
สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนแบบมีสภาพคล่อง
อาจพิจารณาเลือกลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ ซึ่งมีทั้งประเภทกองทุนรวมตลาดเงิน (Money
Market Fund) เป็นกองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุคงเหลือไม่เกิน
1 ปี หรือกองทุนรวมตราสารหนี้ (Fixed Income Fund) ที่ลงทุนในตราสารหนี้ประเภทต่าง ๆ เช่น พันธบัตรรัฐบาล
พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ รวมถึงหุ้นกู้ภาคเอกชน
อีกทั้งยังมีกองทุนรวมตราสารหนี้ที่ลงทุนในต่างประเทศให้เลือกอีกด้วย
ข้อดีของการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้นั้นคือมีผู้จัดการกองทุนบริหารเงินลงทุน
บริหารความเสี่ยงให้กับเรา คอยติดตามสถานะตราสารที่เข้าไปลงทุน
โดยผู้ลงทุนสามารถเลือกกองทุนที่มีนโยบายสอดคล้องกับความต้องการของตนเอง
ส่วนข้อมูลรายละเอียด ค่าธรรมเนียมและเงื่อนไขต่าง ๆ
สามารถศึกษาได้จากหนังสือชี้ชวนเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน
ทั้งนี้ในส่วนการลงทุนของ กบข.
ซึ่งบริหารเงินลงทุนให้กับสมาชิกกว่า 1.1 ล้านราย
มีนโยบายการลงทุนคัดเลือกตราสารหนี้ที่มีคุณภาพสูง
โดยเลือกตราสารหนี้ที่มีอันดับเครดิตอยู่ในระดับ Investment Grade เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับสมาชิก