ประเด็นร้อนตอนนี้คือ “โควิด-19” กำลังเป็นบททดสอบมนุษยชาติครั้งสำคัญ
ที่บีบให้รัฐบาลหลายประเทศออกมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม
และเริ่มส่งผลกระทบต่อธุรกิจเริ่มตั้งแต่กลุ่มท่องเที่ยว อย่างสายการบิน
โรงแรมที่พัก ร้านอาหาร กระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ไปห้างสรรพสินค้าและธุรกิจน้อยใหญ่ที่อาศัยห้างฯ
เป็นช่องทางพบเจอลูกค้า รวมทั้งบรรดาลูกจ้างหรือผู้ประกอบอาชีพอิสระที่รายได้ลดลง
หรือถูกเลิกจ้างบ้าง
แล้วแต่ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับธุรกิจภาครัฐเองก็ได้ร่วมมือกับภาคเอกชน
โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ ให้การเยียวยารูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเงินชดเชยรายได้ผู้ที่ได้รับผลกระทบ
การยืดระยะเวลายื่นแบบประเมินภาษี การลดจำนวนเงินนำส่งเข้าประกันสังคม
การให้พักชำระเงินต้นสินเชื่อ เป็นต้น ซึ่งก็พอช่วยให้หายใจหายคอได้บ้าง
แต่ยังไม่โลงใจเสียทีเดียวเพราะไม่มีใครตอบได้ว่าสถานการณ์นี้จะจบลงเมื่อไหร่
คำแนะนำแบบตรงไปตรงมาคือ
ถ้าใครเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินเยียวยาก็น่าจะพิจารณาเข้ารับการช่วยเหลือตามมาตรการของภาครัฐ
ส่วนการพักชำระหนี้เงินต้นโดยจ่ายแต่ดอกเบี้ยนั้นก็ให้ดูกำลังความสามารถในการผ่อนของตนเองเป็นหลัก
การจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยช่วยให้มีสภาพคล่องแต่ละเดือนสูงกว่าการผ่อนทั้งต้นและดอกก็จริง
แต่อย่าลืมว่าหนี้สินไม่ได้ลดลงเพราะส่วนของเงินต้นก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม ดังนั้น
ถ้าผ่อนไหวก็ยังอยากให้ผ่อนตามปกติต่อไป
ส่วนค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันนั้นอะไรประหยัดได้ก็ประหยัดไป
ในฐานะที่ให้คำปรึกษาด้านการเงินส่วนบุคคลมานาน บอกได้เลยว่าพื้นฐานของการจัดการเงินที่สำคัญที่สุดไม่ได้อยู่ที่
“ตัวเงิน” แต่อยู่ที่ “ความคิดในการจัดการเงิน” มีเงินเยอะแต่ใช้ไม่เป็นก็หมดได้
มีเงินน้อยแต่รู้จักขวนขวายก็สร้างฐานะได้
วิกฤติรอบนี้อาจมองเป็นโอกาสที่ดีในการจัดระบบความคิดด้านการเงินของตัวเองใหม่
1. “มีรายได้หลายทาง” -
กลุ่มฟรีแลนซ์ที่รายได้เติบโตรวดเร็วตามปริมาณและคุณภาพงานที่รับทำ
ควรหาแหล่งรายได้ที่สร้าง passive income เช่น ซื้อพันธบัตร
ซื้อสลากออมสิน หรือให้เช่าอสังหาฯ ไว้บ้าง
เพื่อสร้างสมดุลให้แหล่งรายได้มีเสถียรภาพ
ส่วนกลุ่มพนักงานที่รับเงินเดือนประจำ ควรฝึกฝนทักษะสร้างคุณค่าให้กับตัวเอง ทั้งทักษะในสายวิชาชีพ ทักษะด้านการบริหาร เพราะจะทำให้มีโอกาสถูกเลย์ออฟเป็นคนท้ายๆ ขององค์กร หรือหากปิดบริษัทไปก็มีโอกาสที่จะหางานทำได้เร็วกว่าคนอื่น ใครมีความรู้ในสายวิชาชีพมากพอก็ลองพิจารณาแปลงไปเป็นอาชีพเสริมตามความถนัด เพื่อให้มั่นใจว่ามีแหล่งงานรองรับ
2. “ลงทุนอย่างเข้าใจและมีสติ” -
คือให้เข้าใจธรรมชาติของสินทรัพย์เสี่ยงว่ามีลงมีขึ้นได้
ตอนนี้เห็นหลายคนพร่ำบ่นโอดโอยบ้าง โมโหบ้าง
เศร้าสลดบ้างที่เห็นเงินที่ลงทุนไว้ลดลง แต่หากย้อนไปดูอดีตหลายสิบปีทั้งในช่วงสงครามโลก
วิกฤตการณ์ทางการเงิน
ก็จะเห็นได้ว่าภาวะแบบนี้จะอยู่ไปสักพักแล้วก็จะดีดกลับขึ้นมาใหม่
นอกจากเข้าใจแล้วก็ต้องมีสติด้วย ความกลัวมักทำให้ขายออกที่ราคาต่ำ
ความโลภมักทำให้เข้าซื้อที่ราคาสูง
หากมีสติด้วยการหาจังหวะทยอยเข้าซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว และทยอยขายเมื่อราคาเพิ่มขึ้น
หรือที่เรียกว่า Buy into Weakness กับ Sell into
Strength การเรียนรู้และอดทนรอจังหวะที่เหมาะสมเป็นประโยชน์กว่า
3. “ทำประกันไว้บ้าง” -
เดิมใครทำประกันถือว่าแช่งตัวเอง
แต่ยุคนี้ใครไม่ทำประกันถือว่าไม่รู้จักวิธีจัดการความเสี่ยง ประกันก็มีหลายแบบทั้งแบบสะสมทรัพย์ที่เบี้ยสูงแต่ได้เงินเมื่อครบสัญญา
แบบตลอดชีพที่เบี้ยต่ำหน่อยแต่จ่ายเงินให้กับผู้รับผลประโยชน์เท่านั้น
ส่วนประกันแบบบำนาญก็เอาไว้เพื่อวัตถุประสงค์การรับเงินรายงวด (annuity) หลังเกษียณ นอกจากนี้ ก็ยังมีประกันสุขภาพแบบต่างๆ หากเลือกไม่ถูกควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือนักวางแผนการเงินที่ไว้ใจได้
ให้แนะนำแบบประกันให้ (ทั้งนี้ สำหรับสมาชิก กบข. สามารถนัดหมายศูนย์ข้อมูลการเงิน
หรือ Financial Assistant Center ผ่านแอปพลิเคชัน My
GPF Application ได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย)
4. “สำรองเงินเผื่อฉุกเฉิน” จริงๆ
เงินก้อนนี้ก็คือเงินออมนั่นเอง
แต่นำไปอยู่ในสินทรัพย์ที่เรียกว่าสภาพคล่องสูงความเสี่ยงต่ำ เช่น
เงินฝากออมทรัพย์ เงินฝากประจำที่สามารถถอนได้ง่าย หรือกองทุนรวมประเภทตลาดเงิน (Money
Market Fund) เพื่อจะได้หยิบนำมาใช้ในยามจำเป็น
โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติที่รายได้หลักหายไป เพื่อให้ดำรงชีวิต
จ่ายค่าใช้จ่ายประจำวันหรือผ่อนชำระหนี้ได้ตามปกติ
แนะนำว่าควรมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินไว้อย่างน้อย 3
เท่าของรายจ่ายเฉลี่ยต่อเดือน
5. “ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต” เช่น
จากเดิมทานอาหารนอกบ้านบ่อยๆ ก็เปลี่ยนเป็นทำอาหารเองบางมื้อหรือจะสั่งมากินที่บ้านก็ได้
บางเมนูทำไม่ยาก เปิดเว็บไซต์สอนทำอาหารหรือ YouTube ลองๆ
ทำดู ประหยัดเงิน ได้คุณภาพอาหารที่ต้องการ
และยิ่งชวนคนในครอบครัวมาทำด้วยกันก็เพิ่มความสุขได้อีก
เอาแค่นี้ก่อนครับ
ใครมีเทคนิคการจัดการเงินอย่างไรก็แชร์มาที่ ศูนย์ข้อมูลการเงิน กบข. อีเมล fa@gpf.or.th
ได้นะครับ
ทางเราจะได้นำไอเดียมาเขียนเป็นบทความเผยแพร่ความรู้ให้กับท่านผู้อ่านในครั้งต่อๆ
ไป
เว็บไซต์ของ กบข. มีการใช้งานคุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้น โดยจะทำให้ กบข. เข้าใจลักษณะการใช้งานเว็บไซต์ของ กบข. ของท่าน และทำให้เว็บไซต์ของ กบข. เข้าถึงได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์ของ กบข. นี้จะถือว่าท่านได้อนุญาตให้ กบข. ใช้คุกกี้ตาม นโยบายการใช้คุกกี้