เงินซื้อความสุขได้จริงไหม

ประเด็นเรื่อง “เงินกับความสุขเกี่ยวข้องกันหรือไม่”
เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมานาน บางท่านมองว่าจะรวยจะจนก็มีความสุขได้
ขณะที่อีกท่านมองว่ามีเงินน้อยใช้จ่ายขัดสนแล้วจะไปมีความสุขได้อย่างไร
ในปี 2553 แดเนียล คาฮ์นะมัน (Daniel
Kahneman) และแองกัส ดีตัน (Angus Deaton) สองนักวิชาการระดับรางวัลโนเบลแห่งมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน
ได้เผยแพร่งานวิจัยเกี่ยวกับเงินและความสุขของคนอเมริกัน
งานวิจัยนี้ใช้ระดับรายได้เป็นตัวแทนของเงิน
และระดับความพึงพอใจในชีวิตเป็นตัวแทนของความสุข
ผลปรากฎว่าเงินกับความสุขมีความสัมพันธ์กัน
กล่าวคือถ้ามีเงินเยอะขึ้นก็จะมีความสุขมากขึ้น
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือความสัมพันธ์นี้คงอยู่จนถึงระดับรายได้ประมาณ 75,000
ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี หลังจากนั้นเงินกับความสุขก็แทบจะไม่เกี่ยวข้องกันเลย
สิ่งนี้บอกเป็นนัยว่า
“เงินเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างความสุข” เพราะหากไม่มีเงินหรือมีน้อยก็จะไม่สามารถจัดการกับปัญหาที่เข้ามาในชีวิต
หรือเกื้อหนุนให้ใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ เช่น เจ็บป่วยแต่ไม่มีเงินค่ารักษาพยาบาล
อยากส่งลูกเรียนแต่ไม่มีเงินพอ เป็นต้น
แต่อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันคือ
“ความสุขไม่ได้มาจากเงินเสมอไป” หลายคนหลงไปกับวัตถุนิยมด้วยการมีอคติว่ายิ่งมีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
แต่สุดท้ายก็ต้องมานั่งทุกข์ใจเพราะถึงมีของต่างๆ
มากมายแต่ตนเองก็ยังไม่มีความสุขเลยในเรื่องหลังนี้
อาจตอบได้ด้วยทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลส์ (Maslow’s Hierarchy of Needs) ซึ่งอธิบายว่าความต้องการของมนุษย์สามารถแบ่งเป็น
5 ขั้นคือ ด้านกายภาพ (physiological
needs) ความมั่นคงปลอดภัย (safety) ความรัก
(love) ความเคารพนับถือ
(esteem) และการเป็นตัวตนในแบบที่ต้องการ
(self-actualization)
หากนำมาพิจารณาในมิติด้านการเงินแล้ว จะพบว่าความต้องการในขั้นพื้นฐานโดยเฉพาะด้านกายภาพและความปลอดภัย
อันได้แก่ อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
และความมั่นคงทางการเงินนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเงินโดยตรง
ส่วนความต้องการในลำดับที่สูงขึ้นอย่างการเข้าสังคม การดูแลครอบครัว นั้น
มีเรื่องที่เกี่ยวกับเงินบ้างเป็นบางส่วน ขณะที่ความต้องการระดับบน เช่น
ความสำเร็จ ความภาคภูมิใจ การค้นพบตัวตนที่แท้จริงนั้น
มักไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน
ดังนั้น
เงื่อนไขที่ว่าต้องมีเงินเยอะแล้วจะมีความสุขจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องเพียงบางส่วน
เงินมีประโยชน์ในด้านการซื้อสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานและความสะดวกสบายในระดับหนึ่งเท่านั้น
หลังจากนั้นความสุขจากเงินจะถึงจุดอิ่มตัว
การใช้เงินมากกว่าระดับที่เหมาะสมนี้จะกลายเป็นเพียงความสุขแบบฉาบฉวย
และมักส่งผลด้านลบไม่ว่าจะเป็นปัญหาหนี้สิน ปัญหาสุขภาพจากความเครียด
พักผ่อนไม่เพียงพอ ไม่มีเวลาให้ครอบครัว เป็นต้น
ความสุขในชีวิตจึงเกิดจากปัจจัยอื่นที่ไม่ใช่เฉพาะเรื่องเงินแต่เพียงอย่างเดียว
การเดินทางสายกลางด้วยการยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ใช้จ่ายเงินในระดับที่เหมาะสม จะเป็นเครื่องนำทางสร้างความสมดุลทั้งความมั่นคงทางการเงินและความสุขให้กับชีวิต