การจัดการเงินหลังเกษียณไม่ได้จำกัดเพียงแค่ใช้จ่ายหรือนำเงินไปลงทุนเท่านั้น
แต่ยังรวมถึงการส่งต่อทรัพย์สินที่เก็บสะสมมาให้กับทายาท
ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อย
ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ “ทายาท”
หรือผู้มีสิทธิรับมรดกแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ ทายาทโดยธรรม
ซึ่งกฎหมายได้กำหนดไว้เป็นแบบแผนแล้ว กับทายาทโดยพินัยกรรม
ซึ่งบุคคลที่ผู้เสียชีวิตประสงค์มอบทรัพย์สินให้เป็นการเฉพาะเจาะจง
“ทายาทโดยธรรม” แบ่งเป็น 6 ลำดับดังนี้ ลำดับแรกคือผู้สืบสันดาน
ซึ่งกินความกว้างกว่าบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดามารดาที่สมรสกัน
แต่ครอบคลุมถึงหลานและเหลน
บุตรที่บิดาจดทะเบียนรับรองโดยที่บิดามารดาแต่งงานกันแบบไม่ได้จดทะเบียนสมรส
บุตรนอกสมรส เช่น เกิดจากฝ่ายสามีไปมีภรรยาน้อย
โดยผู้เป็นบิดาได้แสดงออกถึงพฤติกรรมให้การรับรองว่าเป็นบุตรของตน เช่น
มีหลักฐานว่าอุปการะเลี้ยงดู ให้ใช้นามสกุลเดียวกับบิดา เป็นต้น
รวมทั้งบุตรบุญธรรม เหล่านี้เป็นถือเป็นทายาทลำดับแรกทั้งสิ้น
ลำดับที่สองคือบิดามารดาที่สมรสกันตามกฎหมาย
ลำดับที่สามคือพี่น้องร่วมบิดาและมารดาเดียวกัน
ลำดับที่สี่คือพี่น้องร่วมบิดาหรือมารดาเดียวกัน ลำดับที่ห้าคือปู่ย่าตายาย
และลำดับที่หกคือลุงป้าน้าอา
เมื่อต้องแบ่งมรดกกันก็ไม่ได้แปลว่าทุกคนในทุกลำดับชั้นจะเข้ามามีส่วนแบ่ง
แต่จะอิงหลัก “ญาติสนิทตัดญาติห่าง”
โดยสองลำดับแรกคือผู้สืบสันดานและบิดามารดาของผู้เสียชีวิตเรียกว่า “ญาติสนิท”
ส่วนลำดับที่เหลือเรียกว่า “ญาติห่าง” โดยกติกาคือหากมีญาติสนิทอยู่แม้เพียงคนใดคนหนึ่ง
จะเป็นผลให้ญาติห่างทั้งหมดไม่มีสิทธิใดๆ ในกองมรดกนั้นเลย
ขณะที่ญาติสนิทจะไม่ตัดกันเอง
หมายความว่าหากมีผู้สืบสันดานและบิดามารดาอยู่ด้วยกันจะให้นำมาแบ่งสรรปันส่วนกัน
ส่วนคู่สมรสที่จดทะเบียนโดยชอบด้วยกฎหมาย
จัดเป็นทายาทโดยธรรมตามบทบัญญัติพิเศษ ซึ่งมีสิทธิในสินทรัพย์สูงมาก
เพราะนอกจากจะได้สินสมรสไปครึ่งหนึ่งแล้ว
ยังคงมีสิทธิในส่วนที่เหลือซึ่งเป็นกองมรดกอีกด้วย เรียกว่าได้สองเด้งเลยทีเดียว
สมมติว่าฝ่ายสามีมีสินทรัพย์ทั้งหมดอยู่ 10 ล้านบาท ซึ่งทำมาหาได้หลังจดทะเบียนและนับเป็นสินสมรส หากเกิดเหตุเสียชีวิตขึ้นมา
ขั้นแรกคือแบ่งสินสมรสครึ่งหนึ่งให้ฝ่ายภรรยาไปเลย 5 ล้านบาท
ส่วนที่เหลืออีก 5
ล้านบาทจึงตกเป็นกองมรดกเพื่อนำไปแบ่งกันในหมู่ทายาท ทั้งนี้
การได้รับสินสมรสไปแล้วไม่ได้ทำให้คู่สมรสเสียสิทธิในกองมรดก
เวลาแบ่งมรดกกันจะต้องให้ฝ่ายภรรยาเข้ามาร่วมวงด้วยเสมอ
จากกรณีข้างต้น หากฝ่ายสามีมีญาติสนิท ได้แก่
บุตรหนึ่งคน บิดาและมารดา เมื่อรวมกับภรรยาแล้วทั้งหมดจะเป็น 4 คน เงินที่เหลืออยู่ในกองมรดกจำนวน 5
ล้านบาทก็จะนำไปหารเท่า ได้เท่ากับ 1.25 ล้านบาทต่อคน
ดังนั้น ฝ่ายภรรยาจะได้รับรวมทั้งสิ้น 6.25 ล้านบาท กล่าวคือ
5 ล้านบาทในส่วนของสินสมรสและอีก 1.25
ล้านบาทในส่วนของกองมรดกนั่นเอง
หากไม่มีทายาทลำดับที่หนึ่งและสองแล้ว
แต่มีทายาทลำดับที่สามหรือสี่อยู่ กำหนดว่าคู่สมรสมีสิทธิได้ครึ่งหนึ่งของกองมรดก หากมีเหลือแค่ลำดับห้าหรือหก
คู่สมรสจะได้ไปสองในสามส่วน และหากไม่มีทายาทโดยธรรมในลำดับที่หนึ่งถึงหกอยู่เลย
คู่สมรสก็จะได้รับมรดกไปเต็มจำนวน สรุปง่ายๆ คือไม่ว่าจะกรณีไหน
คู่สมรสได้ทั้งสินสมรสและส่วนแบ่งจากกองมรดกเสมอ
หากต้องการกำหนดด้วยตนเองว่าสินทรัพย์ชิ้นไหนจะให้ใครเป็นการเฉพาะเจาะจง
ก็สามารถทำได้โดยการเขียนพินัยกรรม ซึ่งผู้รับผลประโยชน์ในกรณีนี้เรียกว่า
“ทายาทโดยพินัยกรรม” นั่นเอง
การทำพินัยกรรมมีหลายแบบ
หากจะให้ดูเป็นทางการหน่อยควรพิมพ์ข้อความพินัยกรรมให้เรียบร้อย
และนำไปยื่นต่อสำนักงานเขตหรืออำเภอพร้อมพยานอย่างน้อย 2 คนลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน
เก็บไว้ที่เจ้ามรดกหนึ่งฉบับและไว้ที่สำนักงานเขตหรืออำเภออีกหนึ่งฉบับ
เรียกว่าพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง
ซึ่งไม่จำเป็นว่าต้องรอว่าอยู่ในภาวะเสี่ยงใกล้เสียชีวิตแล้วค่อยมาทำพินัยกรรม
เพราะหากทำในสถานการณ์ที่มีผู้โต้แย้งว่าขาดสติสัมปชัญญะแล้ว
อาจส่งผลให้เกิดการตีความว่านิติกรรมไม่สมบูรณ์ก็เป็นได้
นอกเหนือจากการทำพินัยกรรมแล้ว
ผู้ที่ต้องการส่งต่อมรดกอาจเลือกใช้ทรัพย์สินการเงินบางประเภท ซึ่งมีลักษณะเป็น
“เสมือนพินัยกรรม” กล่าวคือเปิดให้ระบุชื่อของบุคคลที่ประสงค์จะได้รับเงินไว้เป็นการเฉพาะเจาะจง
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ กรมธรรม์ประกันชีวิต
ที่ให้ระบุชื่อบุคคลและสัดส่วนของเงินที่จะได้รับตั้งแต่ตอนยื่นคำขอทำประกันชีวิต
ดังนั้น เงินในส่วนนี้ไม่ต้องตกเข้าสู่กองมรดกเหมือนทรัพย์สินทั่วไป
เว้นแต่ว่าผู้รับผลประโยชน์ทั้งหมดที่ระบุไว้นั้นได้เสียชีวิตไปก่อน
เงินดังกล่าวจึงไปตกอยู่ในกองมรดก
แถมท้ายให้อีกนิดหนึ่งสำหรับสินทรัพย์การเงินประเภทที่มีเงื่อนไขการถือครองอย่าง
LTF
และ RMF นั้น
ผู้จัดการมรดกสามารถติดต่อสถาบันการเงินเพื่อดำเนินการขายคืนได้แม้ว่าจะยังถือครองไม่ครบกำหนดก็ตาม
โดยไม่ถือว่าเป็นการผิดเงื่อนไขเนื่องจากเป็นการขายในกรณีที่ผู้ถือหน่วยลงทุนถึงแก่กรรม
อย่างไรก็ดี กองทุนประเภทอื่นที่ระบุระยะเวลาถือครอง หรือที่เรียกว่ากองทุนปิดนั้น
โดยทั่วไปจำต้องรอให้ครบกำหนดตามเงื่อนไขของเวลาก่อน
ขณะที่พันธบัตรหรือหุ้นกู้ภาคเอกชน ปกติแล้วต้องไปหาตลาดรองในการขายสินทรัพย์ออกไป
หรือไม่ก็รอให้ครบกำหนดเช่นกัน
การเข้าใจว่าสินทรัพย์ที่มีอยู่จะส่งต่อไปให้ใครจะเป็นประโยชน์ให้เกิดความสบายใจทั้งผู้ให้
และป้องกันปัญหาความขัดแย้งกันในหมู่ทายาท ทั้งนี้ สมาชิก กบข.
ที่ต้องการสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับมรดกหรือการจัดการเงินหลังเกษียณ สามารถนัดหมาย
“ศูนย์ข้อมูลการเงิน กบข.” ผ่าน My GPF Application
เว็บไซต์ของ กบข. มีการใช้งานคุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้น โดยจะทำให้ กบข. เข้าใจลักษณะการใช้งานเว็บไซต์ของ กบข. ของท่าน และทำให้เว็บไซต์ของ กบข. เข้าถึงได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์ของ กบข. นี้จะถือว่าท่านได้อนุญาตให้ กบข. ใช้คุกกี้ตาม นโยบายการใช้คุกกี้